The Village @ Horseshoe Point บ้านโปร่งคลายร้อน ของคนรักธรรมชาติ

ปกติเวลาพูดถึง "พัทยา" ทุกคนคงคิดถึงทะเล และแหล่งบันเทิงสำหรับนักท่องราตรี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า "พัทยา" ยังมีพื้นที่ที่ให้คุณสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดได้อีกด้วย

Horseshoe Point คือสถานที่ที่คนยุคนี้ไม่น่าจะพลาดหากแวะเวียนไปเที่ยวพัทยา เพราะเป็นสวรรค์สำหรับคนรักม้า เป็นโรงเรียนสอนขี่ม้า เป็นสถานที่พักตากอากาศ แล้วยังเป็นสถานที่ที่สามารถท่องประวัติศาสตร์ไปกับอุทยานสามก๊กได้อีกด้วย และล่าสุดกับโครงการบ้านพักสไตล์รีสอร์ต "The Village @ Horseshoe Point" ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นชุมชนของคนรักม้า ที่ตอบสนองความต้องการด้านที่พักอาศัยได้อย่างลงตัว

คุณเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร Managing Director ของที่นี่ พาเราเยี่ยมชมโครงการพร้อมเล่าให้ฟังว่า "ตอนแรกเราทำรีเสิร์ชก่อน หลังจากที่เปิดตัวโครงการแรก คือ The Residence @ Horseshoe Point ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีคอนเซ็ปต์แบบ Luxury & Classic ราคาตั้งแต่ 16 - 30 ล้านบาท มีพื้นที่ใช้สอยในบ้านกว้างขวาง ทั้งหมด 25 ยูนิต เป็นบ้านสำหรับ Hi-end ครอบครัวใหญ่

พอปีต่อมา ก็คิดถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ที่อยากมีบ้านในสังคมที่ดีแต่มีงบไม่ถึง 10 ล้าน แต่มี lifestyle เดียวกัน เราจึงออกแบบโครงการนี้ขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดเราเลือกแต่วัสดุที่มีคุณภาพทั้งสิ้น ส่วนการออกแบบ ผมว่าบ้านในเมืองร้อนอย่างเมืองไทยน่าจะเป็นบ้านที่มีกระจก สามารถมองไปเห็นสวนด้านนอก มีต้นไม้เยอะๆ น่าจะดี หรือมีลูกเล่นที่สามารถออกไปอาบน้ำด้านนอกได้ มีอากาศถ่ายเท"

ฟังคุณเจตน์พูดแล้ว คงทำให้อยากเห็นมุมต่างๆ ในบ้านหลังนี้กันแล้ว คราวนี้ คุณทศพล ฐิติภัทรเมธา The Living, Project Manager ของโครงการขอรับหน้าที่ต่อ ด้วยการเล่ารายละเอียดของคอนเซ็ปต์โครงการให้ฟังก่อนว่า "โครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เพื่อสร้างสังคมที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในฝั่งภาคตะวันออก โดยสร้างความโดดเด่นด้านคุณภาพ เราออกแบบโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อตอบสนองครอบครัวของคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะเพิ่งเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ หรือเป็นผู้บริหารระดับกลางขึ้นไปในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างประเทศ โครงการ The Village เกิดขึ้นโดยการใช้คอนเซ็ปต์บ้านเพื่อการพักผ่อนก็ได้ เป็นที่อยู่อาศัยทุกวันก็ได้ แต่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ชุมชนที่น่าอยู่ และเป็นบ้านที่เหมือนรีสอร์ตไปในตัว ซึ่งมีให้เลือกทั้งบ้านแบบชั้นเดียวและ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมภายนอกจะเป็น Tropical Modern ส่วนภายในจะเป็น Tropical Resort เน้นวัสดุที่เป็นธรรมชาติแต่ดีไซน์ทันสมัย"

เพื่อให้เห็นภาพบรรยากาศที่แท้จริง เราเดินตามคุณทศพลไปชมบ้านชั้นเดียว (Type A) ซึ่งเป็นบ้าน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ที่เน้นความโอ่โถงของห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารและห้องครัวกันเลยดีกว่า สิ่งแรกที่ประทับใจที่นี่ คือ พื้นที่โล่งสำหรับเป็นพื้นที่ส่้วนกลางในการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว ซึ่งกว้างขวาง หายใจได้โล่งปอดจริงๆ เลยค่ะ

ส่วนภายนอกออกแบบให้สามารถจอดรถหน้าบ้าน และกันพื้นที่หลังที่จอดรถให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อน ด้วยน้ำตกและบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ พร้อมทั้งมีลานนั่งเล่นยามเย็นสำหรับปาร์ตี้บาร์บีคิว ที่ดูแล้วชวนผ่อนคลายเป็นกันเอง โดยพื้นที่บ้านแต่ละหลังจะมีขนาดตั้งแต่ 110 ตารางวาขึ้นไป เพื่อสะดวกในการทำกิจกรรมและใช้สอยเป็นพื้นที่อเนกประสงค์นอกบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งคุณทศพลอธิบายให้ฟังว่า

"บ้านทั้ง 2 แบบ เราออกแบบให้มีชายคาที่ยื่นออกมามากหน่อยเพื่อกันแดดกันฝน ประตูหน้าต่างจะเพิ่มจำนวนโดยใช้บานขนาดกว้าง เซ็ตเพดานให้สูง อย่างบ้านตัวอย่างจะมีเพดานส่วนต่ำสุดประมาณ 4 เมตร ส่วนที่ขึ้นไปเหมือนจั่วจะสูงประมาณ 5 เมตรกว่า ความโปร่งของพื้นที่ทำให้อากาศร้อนลอยสูงขึ้น โดยทั่วไปเราไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ก็ได้ แค่เปิดประตูหน้าต่างเพื่อรับลมธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากบริเวณนี้อยู่บนเนินเขาที่มองลงมาสามารถเห็นเมืองพัทยา เราอยู่บนเนินที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 40 - 50 เมตร ทำให้รู้สึกว่ามีลมตลอด"

"สำหรับห้องน้ำ เราออกแบบลักษณะเดียวกับห้องน้ำในรีสอร์ต เลือกใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติ เช่น หินขัด ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนรีสอร์ต ห้องน้ำบริเวณ Shower ก็จะมีม้านั่งให้สามารถนั่งอาบฝักบัวได้ ทั้งนี้เพราะลูกค้าส่วนหนึ่งจะเป็นกลุ่มที่เกษียณแล้ว การที่มีม้านั่งในห้องน้ำก็ทำให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น พื้นผิวที่ไม่เรียบลื่นก็ทำให้อันตรายในการลื่นล้มในห้องน้ำลดลง"

การออกแบบที่นี่ช่างใส่ใจ ลงลึกในรายละเอียดดีจังเลยค่ะ ตอนนี้อยากรู้จังว่าห้องนอนที่นี่หน้าตาจะเป็นอย่างไร ว่าแล้วคุณทศพลก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง พร้อมภาพห้องนอนแสนสวยตรงหน้า "ห้องนอน Master จะแบ่งส่วนที่เป็นห้องแต่งตัว Walk-in Closet ประตูที่ปิดหน้าห้องจะเหมือนประตูตู้เสื้อผ้า เปิดมาก็จะเจอเสื้อผ้าเลย มีโต๊ะเครื่องแป้งทางด้านในที่ทำหลังคาสูง เพื่อสร้างความโปร่งและรับแสงธรรมชาติ มีแผงตกแต่งที่ใช้ไม้ฉลุแบบไม่ละเอียดมาก เพราะต้องการให้มีความโมเดิร์นและความเป็นไทยประยุกต์"

เดินชมบ้านชั้นเดียวที่มีความโปร่งสบาย และมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางพร้อมสวนสวยไปแล้ว คราวนี้เราเดินไปดูบ้านข้างๆ ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น (Type B) กันดีกว่า

บ้านหลังนี้มีความแตกต่างจากบ้าน Type A ตรงที่ขนาดบ้านใหญ่กว่าเล็กน้อย และเลื่อนพื้นที่สำหรับจอดรถไปอยู่ด้านหลัง แล้ให้ด้านหน้าเป็นลานอเนกประสงค์ไว้ทำกิจกรรม รวมทั้งมีสระว่ายน้ำชั้นล่าง เป็น Feature Pool Villa ที่ใส่อ่างจากุซซีให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนของคนในครอบครัว ข้างสระว่ายน้ำมีศาลาให้นั่งอ่านหนังสือ และเป็นพื้นที่ที่สามารถทำกิจกรรมภายนอกร่วมกันได้

ส่วนภายในบ้านจะมีความโอ่โถงเหมือนบ้าน Type A แต่จะมีความสดชื่นจากการตกแต่งแบบสบายๆ ด้วยโทนสดใส โดยด้านล่างจะมีห้องนอนเล็ก 2 ห้อง มีประตูและหน้าต่างขนาดใหญ่ เพื่อเปิดพื้นที่เชื่อมกับธรรมชาติจากสวนด้านข้างทำให้รู้สึกว่าบ้านโปร่งโล่งมากขึ้นอีกด้วย

ด้านบนจะมีห้องสูท 1 ห้อง ซึ่งออกแบบสำหรับเจ้าบ้าน เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ โดยวางเตียงไว้ตรงกลาง (Island Bed) พร้อมทั้งมีพื้นที่ด้านหลังที่สามารถเป็นโต๊ะทำงานหรือที่อ่านหนังสือได้ มีระเบียงหน้าบ้านไว้ชมวิว ระเบียงหลังบ้านดัดแปลงสำหรับวางอ่างจากุซซี ให้ความรู้สึกว่าเป็น Pool Villa ในรีสอร์ต หรือเหมือนห้องสูทในโรงแรม ที่มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องนอน ซึ่งคุณทศพลบอกเราว่า "ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าต้องการพื้นที่เท่าไร พื้นที่แปลงที่เล็กที่สุด 110 ตารางวา สามารถจะปลูกให้เป็นบ้าน Type A หรือ Type B ก็ได้ ส่วนของการตกแต่ง สามารถเลือกแต่งได้เอง โดนทางเรามี Interior ช่วยให้คำแนะนำ"

"ที่นี่จะเป็นบ้านที่ขาย Lifestyle และคุณภาพ รวมถึงขาย Service ของ Horseshoe Point ด้วย ซึ่งทาง Horseshoe Point เองก็มีการอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านบริการ ด้านอาหารในส่วนโรงแรม ดังนั้นลูกบ้านที่อยู่ในโครงการ ไม่ว่าจะอยู่ในส่วน The Residence หรือ The Village ก็ตาม สามารถใช้บริการ Hotel Service on Call ได้"

"โดยเฉพาะลูกค้าที่ซื้อไว้เป็น Resort Home หรือชาวต่างชาติที่ซื้อไว้พักผ่อน ก็ไม่ต้องยุ่งยากหาคนมาดูแล เพราะเรามีบริการแม้แต่ Catering สำหรับจัดอาหารเช้าแบบ ABF ให้ จะสะดวกมากกว่าโครงการอื่นซึ่งไม่มีบริการเหล่านี้ จะไปตีกอล์ฟ ขี่ม้าก็ใกล้"

"ทาง Horseshoe Point เองก็มีกิจกรรม Out Door หลายอย่างทั้ง Mountain Bike, ATV, Paint Ball, Camping ต่างๆ และ Walk Rally ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ที่มาอยู่ที่นี่ไม่รู้สึกเบื่อ ไม่ต้องออกไปข้างนอก เป็นการ Out away from busies"

"ถ้าใช้เป็นบ้านอยู่ประจำก็ปลอดภัย สะดวก เพราะเิดินทางเข้าเมืองง่ายแค่ 10 นาที ถ้าจะเข้ากรุงเทพฯ ก็จะเร็วกว่าคนที่อยู่ในตัวเมืองพัทยาเพราะไม่ต้องอ้อม และไม่ต้องทนรถติดในเมือง เพราะในปัจจุบันพัทยารถติดมากในช่วงเวลาเร่งด่วน อยู่ที่นี่จะได้บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติมากกว่า"

สำหรับคนที่ต้องการความสงบในชีวิตและใกล้ชิดธรรมชาติ ที่นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับคุณ แค่ "พัทยา" ใกล้กรุงเทพฯ นิดเดียวค่ะ


ขอบคุณสถานที่
โครงการ The Village @ Horseshoe Point

100 หมู่ 9 บางละมุง พัทยา ชลบุรี โทร. 038-735-050

Siam@Siam Unlimited Designs

Text: Indy
Photo: Mr.K

เช้าวันนี้คุณตื่นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตดูน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจอยู่หรือเปล่า บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ได้เติมอาหารสมองให้ตัวเองก็เป็นได้ ลองปลีกเวลาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากเกมสุดมัน ไปรู้จักสถานที่ใหม่ๆ ที่อาจทำให้ได้ไอเดียดีๆ ในการทำงานกันบ้างดีกว่า

ก่อนหน้านี้เวลาขับรถเข้าเส้นพระรามหนึ่งเพื่อจะไปสยาม แหล่งช้อปปิ้งของคนทุกเพศทุกวัย เรามักไม่ให้ความสนใจตึกรามบ้านช่องที่อยู่สองข้างทางมากนัก ทว่าวันนี้มีสิ่งก่อสร้างใหม่เกิดขึ้น จนทำให้ผู้สัญจรบนถนนเส้นนี้ต้องชะลอรถดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ

เดิมทีแล้วพื้นที่ 2 ไร่นี้เป็นโรงงานรถยนต์ของ Siam Motor แห่งตระกูลพรประภา จนกระทั่งวันหนึ่ง พรพินิจ พรประภา กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทสยามกลการ หนึ่งในทายาทรุ่น "พร" เกิดความคิดในการสร้างโรงแรมที่มีความแปลกใหม่ แตกต่างในด้านงานดีไซน์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย และเป็นตัวของตัวเองอย่างโดดเด่น อาคารแห่งนี้จึงมีรูปลักษณ์ที่สูงโดดเด่นและออกแบบมาอย่างแปลก และแตกต่างในนาม Siam@Siam Design Hotel & Spa

ภายในโรงแรมแห่งนี้ไม่มีฝ้าเพดาน วอลเปเปอร์หรือพรมปูพื้น แต่เลือกที่จะโชว์ความดิบของวัสดุที่นำมาใช้ในแนว Loft ตามแนวคิด "โรงแรมสไตล์โรงงาน" (Industrial Unfinished) โครงสร้างทั้งหมดจึงกลายเป็นงานศิลป์ที่ประกอบด้วยเหล็ก ไม้และปูนเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผนังปูนเปลือยที่ฉาบอย่างหยาบๆ ไม่เน้นความเนียนเรียบ นำหมอนรถไฟขนาดใหญ่มาโอบล้อมตัวตึก ให้ความรู้สึกว่าแวดล้อมด้วยธรรมชาติ เพดานเปลือย ท่อน้ำและท่อแอร์ทุกชั้น มีการนำเศษไม้มาปิดบังความไม่เรียบร้อยบางส่วน โดยการนำมาวางขัดกันไปมาเพื่อเพิ่มมิติ ที่สำคัญเลือกใช้สีส้มเป็นสีหลัก เพื่อเป็นตัวแทนของความสนุกสนานร่าเริงที่เริ่มต้นตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่สัมผัส

"ด้วยพื้นที่ที่จำกัด เราจึงจำเป็นต้องทำทุกสัดส่วนให้มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าหนึ่ง" คำบอกเล่าของ อาจารย์เม้ง - กิติศักดิ์ สุธรรมโชติ สถาปนิกผู้ออกแบบโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งการใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่งของอาจารย์เม้งก็คือ การทำให้ห้องๆ หนึ่งมี "หน้าที่เกินความรับผิดชอบ" คือ ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ส่วนนั้น ยิ่งเมื่อที่นี่ออกแบบให้มีเพียง 22 ชั้น ดังนั้นการจัดวางว่าให้แต่ละชั้นมีหน้าที่อะไรบ้างจึงเป็นเรื่องสำคัญ และในที่สุดบทสรุปทั้งหมดจึงลงตัว

ชั้นล่างเป็น Party House One ห้องอาหารขนาดใหญ่ กว้างเกือบเต็มพื้นที่เพื่อให้มีความโล่ง โปร่งสบาย แบ่งออกเป็น 3 โซน ภายในจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไม้สีดำ แซมด้วยชุดโต๊ะไม้สีสันสดใส เพื่อไม่ใ้ห้ห้องๆ นี้ดูขรึมจนเกินไปนัก ส่วนตรงกลางเป็นบาร์สำหรับนักดื่ม ให้อารมณ์สุขุมด้วยไม้ขัดมันพร้อมเก้าอี้ไม้ที่ออกแบบในสไตล์ย้อนยุค แค่เดินเข้าไปก็ได้ใจคนรักสงบที่ชอบนั่งเล่นสบายๆ ในบรรยากาศแปลกใหม่แล้ว

แต่หากชอบความเป็นส่วนตัวสุดๆ ก็ต้องขึ้นขั้นลอย ซึ่งที่นั่งส่วนมากจะเป็นโซฟาตัวใหญ่ นั่งสบาย สุดท้ายเป็นส่วนของโอเพ่นแอร์ที่นิยมจัดเลี้ยงในสไตล์บาร์บีคิวปาร์ตี้ แม้ว่าห้องอาหารจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่บรรยากาศโดยรวมของชั้นนี้กลับไม่พลุกพล่านและอึดอัด เพราะยกล็อบบี้ให้เคลื่อนตัวขึ้นไปอยู่บนชั้น 11 เพื่อให้แขกได้เพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์รอบนอก โดยเฉพาะผืนหญ้าสีเขียวของสนามศุภชลาสัย แม้ว่าล็อบบี้ของที่นี่จะไม่โอ่โถงนัก แต่มีความโดดเด่นด้วยโซฟาขนาดใหญ่สีส้มสดใส แจกันเหล็กขนาดใหญ่ และโคมไฟรูปลักษณ์สวยแปลกตาที่ใช้กิ่งไม้สามง่ามมาทำเป็นเสา


ถัดมาเป็น Bar Eleven บาร์ขนาดเล็กสำหรับนักพักผ่อนในบรรยากาศสบาย ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องประชุมขนาดย่อมได้ ผนังห้องนี้ใช้อิฐมอญเพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่น และอีกหนึ่งจุดเด่นของชั้นนี้ ก็คือ สระว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอก ซึ่งอาจารย์เม้งให้เหตุผลว่า "การที่ให้สระว่ายน้ำอยู่ชั้นเดียวกับล็อบบี้ เป็นเพราะต้องการประหยัดพื้นที่ และสร้างความประทับใจให้แขกได้เห็นมุมมองใหม่ๆ บ้าง บางคนมองว่าไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่อีกมุมมองหนึ่งเรากลับคิดว่า หากเราให้แขกที่มาพักสามารถทำอะไรก็ได้ราวกับอยู่ในบ้านของตัวเอง โดยไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก เพียงแต่อยู่ในขอบเขตของความสุภาพก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาดี"


"อย่างที่เห็นแขกเดินเท้าเปล่า ใส่เสื้อคลุมสำหรับอาบน้ำ เดินผ่านล็อบบี้เพื่อขึ้นลิฟท์กลับห้องพัก หรือเข้ามาสั่งเครื่องดื่มที่ Bar Eleven อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่น่าจะทำให้รู้สึกแตกตื่นสักเท่าไรนัก และเสน่ห์ของสระว่ายน้ำ คือ เราแยกบริเวณอาบแดดกับสระว่ายน้ำออกจากกัน ออกแบบสระแบบ Over Floor คือไม่มีขอบ มองเห็นวิวทิวทัศน์รอบนอกได้เต็มที่ ส่วนน้ำที่ไหลผ่านไปด้านล่างนั้น จะตรงกับสปาที่อยุ่ชั้น 10 พอดี เพื่อให้เสียงน้ำไปเพิ่มสมดุลของความผ่อนคลายขณะนวด"

Spa Ten คือสปาที่อาจารย์เม้งพูดถึง งานศิลป์ในห้องนี้ไม่แตกต่างจากพื้นที่ส่วนอื่นของโรงแรมเลย ยังคงความดิบที่ผสมผสานไปด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ แฝงอารมณ์ของความเป็นตะวันออกอยู่บ้าง ผนังบางส่วนเป็นปูนเปลือย บางส่วนเป็นอิฐมอญ อาจารย์เม้งกล่าวว่า "เมื่อสปาเป็นสถานี่สำหรับผ่อนคลาย การตกแต่งแนวนี้ให้ความรู้สึกหยาบไปสักหน่อย เสียงเพลงและกลิ่นอาจจะช่วยได้ไม่มากนัก ดังนั้นเราจึงใช้ไม้มาเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้มีความเป็นธรรมชาติ"

นอกจากนี้ ยังมีภาพเขียนบนเพดานที่ช่วยลดทอนความรู้สึกให้สบายยิ่งขึ้นอีกด้วย ส่วนห้องพักที่อยู่ชั้น 14 - 24 นั้น (ชั้น 12 - 13 ถูกตัดออกตามความเชื่อ) ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราจนอึดอัด เน้นหน้าต่างบานกว้างเพื่อให้เห็นทิวทัศน์ได้รอบ เพดานสูง ออกแบบห้องน้ำให้มีหน้าต่าง สามารถเปิดออกมามองเห็นบริเวณห้องพักเพื่อดูทีวีหรือชมวิวขณะอาบน้ำได้ แถมยังให้ความรู้สึกว่าห้องกว้างขึ้น เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างเตียงขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพื่อการพักผ่อนอย่างเต็มที่

ยังมีงานดีไซน์อีกหลายจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของ Siam@Siam ไม่ว่าจะเป็นที่จับประตูที่นำลูกปืนรถยนต์มาเรียงตัวกันบนประตูกระจก นำความไม่สมบูรณ์มาทำให้เป็นศิลปะด้วยการใช้เศษไม้ที่ผุๆ แหว่งๆ มาย้อมสีให้สวยเพื่อตกแต่งตามมุมต่างๆ มีผลงานประติมากรรมให้ชมอย่างเพลิดเพลิน ราวกับอยู่ในห้องแสดงงานศิลปะ

คุมสีสันให้อยู่ในเอิร์ธโทน ซึ่งแม้ว่าจะเลือกสีส้มเป็นสีหลักแต่ก็ไม่จัดจ้านจนหลุดคอนเซ็ปต์ เรียกได้ว่าให้ความใส่ใจในทุกพื้นที่ โดยไม่ละเลยสักตารางนิ้ว และเมื่อถามว่าไฮไลท์ของโรงแรมอยู่ตรงไหน ก็ได้รับคำตอบจากอาจารย์เม้งว่า "โรงแรมนี้มีความสำคัญเท่ากันหมด เพราะทุกอย่างต้องมีความสมดุลเป็นหยินหยาง เอื้ออำนวยพื้นที่ด้วยตัวมันเอง การใช้อิฐมอญหรือปูนเปลือยซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีมาตั้งแต่ในอดีตก็ใช่ว่าต้องการย้อนยุค เพียงแต่ต้องการนำมาผสมผสานกับไอเดียของความเป็นอาร์ต ดึงสีสันออกไปให้เป็นจุดสนใจ จึงออกมาอย่างที่เห็น"

"ที่เห่งนี้มีทั้งความสงบ ผ่อนคลายและสนุก ลดทอนความรู้สึกว่าที่นี่เป็นโรงแรม อยู่ที่นี่แล้วเหมือนกับอยู่บ้าน หากจะกล่าวว่าโรงแรมนี้เกิดขึ้นมาสำหรับคนที่รักงานศิลป์ ชอบความแปลกไม่เหมือนใคร มีสไตล์เป็นของตัวเองก็คงจะไม่ผิดนัก"




ถ้าจะบอกว่าที่นี่คือศิลป์ที่ดีไซน์จากใจรัก ก็คงจะเป็นศิลปะชิ้นที่ใหญ่อีกชิ้นหนึ่งเท่าที่เคยพบเห็นมา และยังเป็นงานที่มีหลากหลายอารมณ์ ควรที่คุณจะไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง

ขอขอบคุณ คุณกิติศักดิ์ สุธรรมโชติ
Siam@Siam Design Hotel & Spa

ถนนพระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพฯ โทร. 0-2217-3000

www.siamatsiam.com